วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 5
วันอังคาร ที่ 21  กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560
เวลา 08.00 - 13.30 น.


โรงเรียนเกษมพิทยา แผนกอนุบาล



                     การศึกษาดูงานในครั้งนี้ที่โรงเรียนเกษมพิทยา แผนกอนุบาล มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนรวมของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยดิฉันได้ศึกษาพฤติกรรมของน้องคนหนึ่ง ซึ่งมีรายละเอียดในการศึกษา ดังต่อไปนี้

ชื่อ น้องเอ (นามสมมุติ)
อายุ 7 ขวบ
ประเภท ออทิสติก

พฤติกรรมที่เห็น : น้องเดินเขย่งเท้า ไม่พูดคุยกับเพื่อนหรือบุคคลรอบข้าง มีโลกส่วนตัวของตนเอง น้องนั่งร่วมกันกับเพื่อนๆในชั้นเรียนได้ เมื่อเพื่อนในชั้นเรียนทำกิจกรรมน้องจะเดินไปตามมุมต่างๆในห้องเรียนคนเดียว มีหยุดและนั่งมองพัดลมเป็นเวลานาน โดยจะมีคุณครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเสมอ 1 คน 

การสัมภาษณ์รุ่นพี่ปี 5 
รุ่นพี่คนที่ 1 : น้องชอบเดินเขย่งเท้า น้องไม่สามารถสื่อสารหรือบอกความต้องการของตนเองได้ ชอบทำอะไรซ้ำๆน้องสามารถทำกิจกรรมศิลปะได้แต่ครูต้องคอยดูแลและให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด น้องสามารถบอกสีและอวัยวะได้ น้องสามารถช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้ เช่น การใส่เสื้อผ้า เข้าห้องน้ำ  เป็นต้น และสามารถเข้าใจคำสั่งของคุณครูได้ 2 - 3 คำสั่ง เช่น ไปหยิบของให้คุณครูหน่อย เป็นต้น 
รุ่นพี่คนที่ 2 : น้องไม่สามารถบอกความต้องการได้ น้องสามารถพูดคำว่า หู ตา จมูก ได้และชอบให้ชี้ที่อวัยวะ เช่น หู ตา จมูก แล้วน้องจะพูดตาม น้องสามารถพูดชื่อสีได้แต่เมื่อพูดรูปปากจะเบี้ยวน้องชอบสีฟ้าเป็นพิเศษชอบเล่นกับอะไรก็ตามที่เป็นสีฟ้า น้องไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ กิจวัตรต่างๆต้องเรียงไปตามกิจวัตรประจำวันที่เคยทำไม่สามารถเปลี่ยนได้ และครั้งหนึ่งน้องเคยร้องไห้โวยวายแต่เมื่อคุณครูพาไปทานน้ำน้องก็จะหยุดร้องไห้

การสัมภาษณ์คุณครู : น้องเริ่มมีการสบตามากกว่าเมื่อก่อน สามารถฟังคำสั่งได้ 2 - 3 คำสั่ง เช่น ไปหยิบของให้คุณครูหน่อย น้องสามารถนั่งเรียนร่วมกับเพื่อนได้แต่เนื้อหาที่เรียนอาจไม่เต็มร้อย น้องมีพัฒนาการเท่ากับเด็ก 3 ขวบ น้องสามารถทำกิจกรรมได้แต่คุณครูต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด น้องสามารถช่วยเหลือตนเองได้ สามารถพูดคำว่า หน้า แก้ม ได้ ถ้าเกิดวันไหนน้องอารมณ์ไม่ดีก็จะหงุดหงิดไปทั้งวันแต่ถ้าวันไหนอารมณ์ดีน้องก็จะอารมณ์ดีไปทั้งวัน การเข้าสังคมของน้องยังไม่เกิด หากน้องมีความต้องการแล้วคุณครูไม่ทราบน้องจะหงุดหงิด

วิธีการที่ครูดูแลน้อง : คุณครูจะคอยพลัดเปลี่ยนกันมาดูแลน้องเป็นการส่วนตัวอาทิตย์ละ 1 คนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา

เวลาเล่นกับเพื่อนน้องเป็นอย่างไร : น้องไม่เข้าหาเพื่อน ไม่มีสังคม ไม่มีการสื่อสารกับบุคคลรอบข้าง


วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 4
วันพุธ ที่ 8  กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560
เวลา 08.30 - 12.30 น.

เนื้อหาการเรีย
                             - เข้าสู่บทเรียนเรื่อง "ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"


6. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้
• เรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning Disability)
• เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
• ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน 
สาเหตุของ LD
• ความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้ (เชื่อมโยงภาพ ตัวอักษรเข้ากับเสียงไม่ได้)
• กรรมพันธุ์
1. ด้านการอ่าน 
• หนังสือช้า ต้องสะกดทีละคำ
• อ่านออกเสียงไม่ชัด ออกเสียงผิด หรืออาจข้ามคำที่อ่านไม่ได้ไปเลย
• ไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน หรือจับใจความสำคัญไม่ได้
2. ด้านการเขียน 
• เขียนตัวหนังสือผิด สับสนเรื่องการม้วนหัวอักษร เช่น จาก ม เป็น น หรือจาก ภ เป็น ถ เป็นต้น
• เขียนตามการออกเสียง เช่น ประเภท เขียนเป็น ประเพด
• เขียนสลับ เช่น สถิติ เขียนเป็น สติถิ
3. ด้านการคิดคำนวณ
• ตัวเลขผิดลำดับ
• ไม่เข้าใจเรื่องการทดเลขหรือการยืมเลขเวลาทำการบวกหรือลบ
• ไม่เข้าหลักเลขหน่วย สิบ ร้อย
4. หลายๆ ด้านร่วมกัน

7. ออทิสติก (Autistic)
• หรือ ออทิซึ่ม (Autism)
• เด็กที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
• ไม่สามารถเข้าใจคำพูด ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น 
" ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว " 

• ทักษะภาษา
• ทักษะทางสังคม
• ทักษะการเคลื่อนไหว
• ทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและพื้นที่ 

ลักษณะของเด็กออทิสติก
อยู่ในโลกของตนเอง
ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
ไม่ยอมพูด
เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ

ประเมินตนเอง
                        - ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี


ประเมินอาจารย์
                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 3
วันพุธ ที่ 25  มกราคม พ.ศ.2560
เวลา 08.30 - 12.30 น.
เนื้อหาการเรีย
                         - เข้าสู่บทเรียนเรื่อง "ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"



4. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 
เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด
          หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด
1. ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง 
 เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
 ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน" "จิน"  กวาด ฟาด
2. ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด
• พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
• การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง                                                                     
3.ความบกพร่องของเสียงพูด
• ความบกพร่องของระดับเสียง
• เสียงดังหรือค่อยเกินไป

ความบกพร่องทางภาษา
         หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำพูด และ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้
1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย 
• มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
• มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
2. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่าDysphasia หรือ aphasia 
• อ่านไม่ออก (alexia)
• เขียนไม่ได้ (agraphia)
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา 
• ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบา ๆ และอ่อนแรง
• ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
• ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ 

5. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
• เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
• อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป 
โรคลมชัก 
1.การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ
• อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10วินาที
• มีการกระพริบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก 
2.การชักแบบรุนแรง 
• เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู
3.อาการชักแบบ Partial Complex
• มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
• เหม่อนิ่ง 
4.อาการไม่รู้สึกตัว
เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
5.ลมบ้าหมู 
• เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น 

ซี.พี.
• การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
• การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน 
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
• ท่าเดินคล้ายกรรไกร
• เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า
• ไอเสียงแห้งบ่อย ๆ
• มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง 

ประเมินตนเอง
                        - ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี


ประเมินอาจารย์
                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 2
วันพุธ ที่ 18  มกราคม พ.ศ.2560
เวลา 08.30 - 12.30 น.
เนื้อหาการเรีย
                          - เข้าสู่บทเรียนเรื่อง "ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"


แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง 
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่วๆไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
เด็กปัญญาเลิศ 
• เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
• มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
• พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
• เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
• อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม 
เด็กฉลาด 
• ตอบคำถาม
• สนใจเรื่องที่ครูสอน
• ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน 
Gifted 
• ตั้งคำถาม 
• เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
• ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า



2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา   
           หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกันมี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา 
• ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
• ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
• ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้

2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน  
           หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
• ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
• ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
• พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์ 

3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
  - เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
  - สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
  - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท 
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
• เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
• มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
• มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา

4. เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน 
                            - ท้ายคาบเรียนนักศึกษาทุกคนร่วมกันไหว้อาจารย์เนื่องในโอกาสวันครู


ประเมินตนเอง
                        - ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี


ประเมินอาจารย์
                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 1
วันพุธ ที่ 11  มกราคม พ.ศ.2560
เวลา 08.30 - 12.30 น.
เนื้อหาการเรียน
                          - อาจารย์ปฐมนิเทศการเรียนในรายวิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย 
                          - เข้าสู่บทเรียนเรื่อง "เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ"


ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ทางการแพทย์ 
                     มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า “เด็กพิการ”  หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสีย สมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ

ทางการศึกษา 
                    ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่าหมายถึง เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
สรุปได้ว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษหมายถึง 
เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้การช่วยเหลือ และการสอนตามปกติ
มีสาเหตุจากสภาพความ บกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
1. พันธุกรรม เด็กจะมีพัฒนาการล่าช้ามาตั้งแต่เกิดหรือสังเกตได้ชั่วระยะไม่นานหลังเกิด  มักมีลักษณะผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย
2. โรคของระบบประสาท เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการส่วนใหญ่มักมีอาการหรืออาการแสดงทางระบบประสาทร่วมด้วย ที่พบบ่อยคืออาการชัก 
3. การติดเชื้อ การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็กกว่าปกติ อาจมีตับม้ามโต การได้ยินบกพร่อง ต้อกระจก นอกจากนี้การติดเชื้อรุนแรงภายหลังเกิด เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ้าง
4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม โรคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย คือ ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด การเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย และภาวะขาดออกซิเจน
6. สารเคมี ตะกั่วเป็นสารที่มีผลกระทบต่อเด็กและมีการศึกษามากที่สุด
7. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร 
8. สาเหตุอื่นๆ
แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
1. การซักประวัติ
2. การตรวจร่างกาย
3. การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ
4.การประเมินพัฒนาการ
                        - อาจารย์ให้นักศึกษาทุกคนทำกิจกรรม Gesell Drawing Test โดยการให้นักศึกษาวาดภาพตามภาพตัวอย่าง ดังนี้


ประเมินตนเอง
                        - ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี


ประเมินอาจารย์
                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง